ช่วงนี้สถานะการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ หลายคนก็คงจะรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองของเรา และแน่นอนที่สุดก็คือ ท้ายที่สุดแล้วก็คือความไม่มั่นใจต่ออนาคตของตัวเราเองนั่นเอง
เพราะความหมายของชาติ ก็หมายถึงประชาชนที่อยู่ในชาตินั่นเอง
ในยามใดที่ชาติเจริญรุ่งเรือง ก็หมายถึงคนในชาติมีความสุข ความเจริญ
ในยามที่ชาติเสื่อมถอย ก็คือคนในชาติเสื่อมถอย
แต่ก็มีคนหลายคนบอกว่า ไม่จริงหรอก เพราะตอนที่เศรษฐกิจของประเทศดี มีอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า GDP สูง แต่เราในฐานะของประชาชนคนหนึ่งก็ยังเต็มไปด้วยหนี้สินรุงรัง ค้าขายก็ไม่เห็นจะดี และบางคนก็เห็นรวยเอารวยเอา ทั้งที่เศรษฐกิจของประเทศไม่ดี แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าชาติคือประชาชนได้อย่างไร
ถูกต้องค่ะ เพราะความเจริญ หรือความเสื่อม มันเป็นค่าเฉลี่ย คือหมายถึงว่ามีคนรายได้ดี และมีคนรายได้ลดลง แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจดี คนที่มีรายได้มากขึ้นก็มีจำนวนมากกว่าคนที่รายได้ลดลงลง
ที่หยิบยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่า ถ้าหากเราอยากเห็นประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ก็ต้องทำตัวเองให้เจริญรุ่งเรือง และช่วยให้คนรอบข้างของเราเจริญรุ่งเรือง และช่วยให้สังคมของเรารุ่งเรือง เพียงแค่นี้เราก็จะอยู่ในท่ามกลางของคนที่เจริญรุ่งเรืองนั่นเอง
การที่เราทำแต่ตัวเราให้รุ่งเรือง โดยไม่สนใจว่าสังคมจะรุ่งเรืองด้วยหรือไม่ แบบนี้จะเรียกว่าเป็นคนรักชาติ หรือ"คนเห็นแก่ชาติ" คงไม่ได้ ต้องเรียกว่า "คนเห็นแก่ตัว"
ไม่เฉพาะแต่ชาติบ้านเมืองเท่านั้น แม้แต่การที่เราบอกว่า" รักครอบครัว" " รักบริษัทฯ" " รักโลก" " รักมวลมนุษยชาติ" ก็ใช้หลักอย่างเดียวกัน
เราอย่าไปรอให้ใครมาทำให้เราเจริญ แต่เราต้องเป็นผู้เริ่มก่อน “เราควรเป็นผู้กำหนด มากกว่าที่จะเป็นผู้ถูกกำหนด” และการที่เราจะกำหนดนั้น ก็ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในหลักความจริงของธรรมชาติที่ว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากเหตุ” ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้เอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปทั้งนั้น “ ปาฏิหารย์ไม่มีในโลก อย่ารอให้ปาฏิหารย์เกิดโดยไม่ทำอะไร” เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีคำตอบและมีทางออกเสมอ
เคยได้ยินคำนี้มั๊ย “ทำอะไรก็จะได้อันนั้น” สำคัญว่ามันจะได้สิ่งนั้นช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง สสารไม่สูญหายไปใหนฉันใด สิ่งที่เราทำไว้มันก็ไม่สูญหายฉันนั้น
สำหรับคนที่ไม่เชื่อในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ก็ขออย่าได้อ่านในสิ่งที่จะเขียนดังต่อไปนี้ และจงได้ทำในสิ่งที่ตนเองเชื่อต่อไป เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อของใครได้
ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ก็ขอให้พลิกจากคำว่า “ทำอะไรก็จะได้อันนั้น” มาเป็น
“อยากได้อะไร ก็ทำอย่างนั้น” จะดีมั๊ย
แต่อยากจะบอกไว้อย่างว่า สิ่งที่ทำกับสิ่งที่ได้ ส่วนใหญ่มักไม่เกิดในเวลาเดียวกันหรือใกล้กันหรอก บางทีก็นานจนเราลืมไปว่าเคยทำอะไรไว้ ขนาดเราเปิดสวิทซ์ไฟ ที่โฆษณาว่าเปิดปุ๊ปติดปั๊บ มันยังไม่ติดทันทีเลยใช่มั๊ย นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆ
และไม่ต้องถามหรือตั้งหน้ารอคอยว่าสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นมันจะเกิดผลเมื่อไหร่ โดยหยุดที่จะทำอย่างต่อเนื่อง
หลายคนมีคำถามว่า
“เราต้องขยันไปอีกนานเท่าไหร่นี่” คำตอบก็คือ “ทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุด มันเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่เหรอ”
“เราต้องทำดีไปอีกนานแค่ใหน?” คำตอบก็คือ “ทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุด ในเมื่อมันดี เราจะหยุดทำไปทำไม”
“เราต้องเจอปัญหาอีกนานแค่ใหน?” คำตอบก็คือ “ก็ตราบเท่าที่ปัญหาเก่าๆที่ถูกสร้างมามันส่งผลจนหมดแล้วก็ไม่เกิดการสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ ไม่เห็นต้องสงสัยอะไรเลย”
“เราต้องเสียสละกันแค่ใหน” คำตอบก็คือ “จนกว่าคุณจะเข้าใจถึงจิตวิญญาณของความเป็นผู้ให้”
“แล้วเมื่อใหร่ ความดีที่เราสร้างไว้มันจะส่งผลซะที” คำตอบก็คือ “มันส่งผลให้เราทุกวันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าสิ่งไม่ดีที่เคยทำมา มันก็ส่งผลในวันเดียวกันด้วย ไม่มีใครมีแต่เรื่องเลวร้ายตลอดวันหรอก แม้แต่วันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีทั้งเรื่องดีๆและเรื่องเลวร้ายเวียนมาตลอดจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต”
สรุปก็คือ อย่ารอให้ใครมากำหนดตัวเราและอย่ารอว่าเมื่อไหร่ปาฏิหารย์จะเกิด เพราะ ปาฏิหารย์ไม่มีจริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น