จินตนาการของบรรพบุรุษมวลมนุษยชาติ


หลายๆคนคงได้ยินประโยคเด็ดๆของไอสไตน์ที่จะคงเป็นประโยคยอดฮิตมาจนเกือบศตวรรษว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้แม้ว่าประโยคนี้จะมีข้อขัดแย้งกันบ้างว่า เฮ้ยมันสำคัญพอๆกันเว้ย! แต่ข้อโต้แย้งนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นของบล็อกนี้ ส่วนตัวผู้เขียนก็เห็นพ้องกับไอสไตน์นะว่าที่ไอสไตน์พูดมาเนี้ยยย มันจริง ไม่งันก็จะไม่มีมนุษย์ที่ใหนที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าม้า บินได้เหมือนนก และก็คงไม่มีมนุษย์หน้าไหนได้ไปเหยียบดวงจันทร์ อีกทั้งจินตนาการของการวิวัฒนาการของเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ก็คงไม่เกิดเช่นกัน แถมตอนนี้ก็เป็นศตวรรษที่ 21 เรียกได้ว่าเป็นยุคของดิจิตอลเทคโนโลยี AI ต่างๆเริ่มเข้ามา


ประเทศไทยเองก็เกิดการ Disruption ในด้านต่างๆอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ธุรกิจต่างๆก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

          จนถึงตรงนี้ก็นอกประเด็นของบล็อกนี้มาไกลแล้ว เรามาพูดถึงจินตนาการของมนุษย์ดีกว่า แต่เป็นจินตนาการของบรรพบุรุษพวกเรา Homo Sapiensจะบอกว่ามนุษย์ยุคหินก็ไม่ผิดนะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ sapiens

            ใช่แล้ววว ว่าจิตนการของเราไม่ได้พึ่งจะมาเกิด แต่มันมีมาตั้งแต่หลายหมื่นๆปีที่แล้ว ในช่วงเวลาที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์ตัวเล็กๆไม่ได้มีพละกำลังความแข็งแรงที่เหนือกว่าพวกวานรยักษ์ต่างๆทั้งหลาย ต้องขอบคุณความกระหายที่อยากจะเป็นเจ้าโลกของบรรพบุรุษของเราจริงๆที่ทำให้เกิดบ่อแห่งจินตนาการเกิดขึ้น อย่างเช่น ระบบสังคมกฎหมาย บริษัท ศาสนา เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และอื่นๆ ถ้าใครอยากลองหาอ่านระเอียดเพิ่มเติม แนะนำว่าลองหนังสือ Sapiens ดู และบล็อกเองก็หยิบยกข้อมูลบางอย่างจากหนังสือเล่นนั้นเช่นกัน แต่จะยกมาเพียงเรื่องคราวๆเรื่องหนึ่งของ จินตนาการ การสร้างศาสนา

          ว่ากันว่า….ถ้าลองให้ลิงชิมแปนซีกับมนุษย์สู้กันตัวต่อตัว และลองให้ทายว่าสิว่าตัวไหนจะรอด แน่นอนว่าต้องเป็นลิงชิมแปนซี แต่ในทางกลับกัน ถ้าลองให้ลิงชิมแปนซีหนึ่งพันตัวกับมนุษย์หนึ่งพันตัวล่ะ ไม่ต้องคิดก็ตอบได้ เพราะคำตอบเห็นได้ชัดจากการครอบโลกของพวกเราเองแล้ว ยังไงล่ะ นั้นก็เพราะว่ามนุษย์เราที่ฉลาดในการรวมมือกัน จัดตั้งเป็นระบบสังคม และยังสามารถเปลี่ยนแปลงและยืดหยุ่นได้ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย  คอมมิวนิสต์ ศาสนา และก็ดำเนินชีวิตไปเรื่อยจนถึงปัจจุบัน มีการปรับและเปลี่ยนตามยุคสมัย

          ทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็เกิดขึ้นมาจากจินตนาการของมนุษย์ มีหลักฐานค้นพบว่ามนุษย์เคยบุรุกเพื่อยึดครองถิ่นของวานรยักษ์ แต่ปรากฏว่าถอยถ้อยทับไปไม่สามารถเอาชนะได้ แต่การผ่ายแพ้นี้ก็เกิดการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ มนุษย์สามารถที่จะเอาชนะได้โดยมีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มมีการบวงสวาง นับถือสิ่งเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น โดยหมายมั่นว่าตนจะสามารถควบคุมสภานะการได้อย่างอยู่มัด อีกทั้งยังสร้างกำลังใจ ความทะเยอทะยาน การรวมพลและสร้างเป้าหมายเดียวกัน นั้นเลยเป็นสิ่งที่ให้มีเราจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่สัตว์รวมโลกตัวอื่นๆกลับไม่สามารถสร้างไม่สามารถซุบซิบนิทาน การโน้มนาวใจได้เลย

ลองดูจากภาพด้านล่างกันบ้าง
รูปภาพ ไม้แกะสลักครึ่งบนเป็นสิงโตและครึ่งล่างเป็นคน เชื่อกันว่ามนุษย์ยุดโบราณนับถือ

มาถึงตรงนี้มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง มาแสดงความเห็นกันหน่อย
หรือผู้เขียนหนังสือเล่นนี้ต้องการจะจู่โจมความเชื่อทางศาสนาใดที่มีจนทุกวันนี้รึป่าว?
Triple S




ความคิดเห็น